
แนวโน้มของ ราคา กับ สถานะคงค้าง และปริมาณซื้อขาย
ผู้เขียน: ฝ่ายวิจัยและพัฒนา AFET
แหล่งเผยแพร่: หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน 15 กรกฎาคม 2552
บทความในสัปดาห์นี้ผู้เขียนอยากจะขอทำความเข้าใจกับการดูกระดานของการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า สำหรับท่านผู้อ่านที่คุ้นเคยกับกระดานซื้อขายหุ้น คงจะคุ้นเคยกับช่องต่างๆ ในกระดานไม่ว่าจะเป็น ราคาเสนอซื้อ (Bid) ปริมาณเสนอซื้อ (Bid Volume) ราคาเสนอขาย (Offer) ปริมาณเสนอขาย (Offer Volume) รวมทั้งปริมาณการซื้อขาย (Volume) เป็นต้น แต่ในกระดานซื้อขายล่วงหน้าของ AFET จะมีช่องของ สถานะคงค้าง หรือ Open Interest (OI) เพิ่มขึ้นมาอีกช่องหนึ่ง
ผู้อ่านหลายๆ ท่านอาจจะสงสัยว่า Open Interest คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร ก่อนอื่น ผู้เขียนขอทำความเข้าใจก่อนว่า Volume กับ Open Interest ในตลาดซื้อขายล่วงหน้านั้น มีความสัมพันธ์กัน เนื่องจากว่า Volume เป็นการรายงานปริมาณซื้อขายที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ส่วน Open Interest หมายถึง ปริมาณสัญญาคงค้างที่ผู้ซื้อและผู้ขายยังมีภาระผูกพันคงค้างอยู่ และยังไม่ได้ถูกปิดสถานะออกไปจากตลาด ทั้งนี้ ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างเพื่อความชัดเจนมากขึ้น
จากตารางข้างบน จะเห็นว่า ในการซื้อขายมี 3 รายการด้วยกัน โดยในรายการที่ 1 นาย ก ซื้อสัญญาล่วงหน้า 10 สัญญา และนาย ข ขายสัญญาล่วงหน้า 10 สัญญา มี Trading Volume เท่ากับ 10 สัญญา และมีสถานะคงค้าง 10 สัญญา ต่อมารายการที่ 2 นาย ก ปิดสถานะโดยขายสัญญาล่วงหน้า 1 สัญญา และนาย ค เข้ามารับซื้อสัญญาล่วงหน้าดังกล่าว 1 สัญญา ดังนั้น Trading Volume จะเพิ่มขึ้นเป็น 11 สัญญา และ Open Interest เท่าเดิม 10 สัญญา (เนื่องจาก ไม่มีการจับคู่ใหม่เกิดขึ้น) รายการที่ 3 นาย ก ปิดสถานะโดยขายสัญญาล่วงหน้าไป 4 สัญญา และนาย ข ก็ทำการปิดสถานะโดยการซื้อล่วงหน้าจำนวน 4 สัญญา ดังนั้นเมื่อสิ้นวัน Trading Volume จะมีจำนวน 15 สัญญา และ Open Interest เหลือเพียง 6 สัญญา (เนื่องจากนาย ก และนาย ข ปิดสถานะ ออกจากตลาดไป)
จากตัวอย่างข้างต้น สรุปได้ว่า Volume ของตลาดจะเพิ่มขึ้นทุกครั้ง เมื่อมีการจับคู่เกิดขึ้น ในขณะที่ Open Interest นั้น จะเพิ่มขึ้นเมื่อเกิดการจับคู่สัญญาใหม่ และจะลดลงเมื่อผู้ที่อยู่ในตลาดต้องการปิดสถานะออกจากตลาดไปเท่านั้น
ถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านคงเข้าใจความหมายของ Volume และ Open Interest กันแล้ว ซึ่งทั้ง Volume และ Open Interest สามารถนำมาใช้พิจารณาทิศทางของราคาได้ โดย Volume หมายถึง แรงซื้อในตลาด ส่วน Open Interest หมายถึง เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในตลาด ดังนั้น ถ้า ราคา และ Volume กับ Open Interest ปรับตัวสูงขึ้น หมายความว่า ตลาดยังคงเป็นขาขึ้นต่อ ถ้าราคาปรับตัวลดลง ในขณะที่ Volume กับ Open Interest ปรับตัวเพิ่มขึ้น หมายความว่าตลาดยังคงเป็นขาลง ในทางกลับกันหากราคาเพิ่มขึ้น แต่ Volume กับ Open Interest ลดลง หมายถึง ราคากำลังถึงจุดสูงสุด และตลาดกำลังจะเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลง และถ้าราคา และ Volume กับ Open Interest ลดลง พร้อมกัน หมายถึง ราคากำลังถึงจุดต่ำสุด และกำลังจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้นนั่นเอง จะเห็นว่าความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ราคา และ Volume กับ Open Interest เท่านี้ก็สามารถใช้วิเคราะห์ทิศทางของราคาได้ อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ทิศทางของราคาก็มีข้อควรระวังเนื่องจากในความเป็นจริงแล้วอาจจะไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จเสมอไป เนื่องจากการขึ้นลงของราคาสินค้าเกษตรนั้น ก็จะขึ้นอยู่กับปัจจัยตามฤดูกาลด้วยค่ะ
ที่มา http://www.afet.or.th/v081/thai/learning/articleShow.php?id=124