วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตัวบอกเหตุ..สิ่งควรสังเกตุก่อนการลงทุน?,ซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,


ตัวบอกเหตุ..สิ่งควรสังเกตุก่อนการลงทุน?

ผู้เขียน: ดร.พีรพล ประเสริฐศรี
แหล่งเผยแพร่: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 8 กรกฎาคม 2553




ปลาหมึกพอล

ณ นาทีนี้ “ตัวบอกเหตุ” ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าที่โด่งดังที่สุด หนีไม่พ้นเจ้า“พอล” ปลาหมึกยักษ์ 8 หนวด อายุ 2 ขวบ ที่มีบ้านเกิดอยู่ที่อังกฤษ ของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในเมือง Oberhausen ประเทศเยอรมนี ครับ

ในมหกรรมฟุตบอลโลก 2010 นี้ เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ได้จัดให้เจ้าหมึก “พอล” ทำนายผลการแข่งขันของทีมชาติเยอรมันกับทีมคู่แข่ง ด้วยการเลือกกินอาหาร (หอยตระกูลเดียวกับหอยแมลงภู่) จากกล่อง 2 กล่องที่ติดด้วยธงชาติเยอรมันและชาติคู่แข่ง หากพอลเลือกกินจากกล่องใด ก็แปลว่า “เจ้าพอล” เลือกทีมนั้นให้เป็นผู้ชนะ

ตั้งแต่รอบคัดเลือกเป็นต้นมา ทีมชาติเยอรมันลงเล่นมาเป็นจำนวน 5 นัด ได้แก่ รอบคัดเลือก 3 นัด รอบ 16 ทีมที่พบกับอังกฤษ และรอบ 8 ทีมที่พบกับอาร์เจนติน่า ผลปรากฏว่า เจ้าหมึกพอล สามารถทำนายผลการแข่งขันได้ถูกต้องทั้ง 5 นัด หรือ 100% เต็ม โดยทั้ง 5 นัดนี้ เยอรมันก็ไม่ได้ชนะรวดทั้ง 5 นัด นะครับ เนื่องจาก มีนัดที่ไปแพ้เซอร์เบีย 1-0 ในรอบคัดเลือก ด้วย

สำนักข่าวต่าง ๆ เช่น AP และ BBC ต่างยกย่องให้ “หมึกพอล” เป็น Oracle (หมึกผู้หยั่งรู้) บ้าง เป็น Psychic (หมึกพลังจิต) บ้าง แฟนบอลอังกฤษบางรายถึงขนาดเขียนด่า “เจ้าพอล” ในเว็ปไซด์ว่าเป็นหมึกทรยศ เมื่อครั้งในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่ไปทำนายให้เยอรมันชนะประเทศบ้านเกิดของตัว

บ้าไปกว่านั้น ก่อนที่เจ้าพอลตัวจริงจะทำการพยากรณ์ผลนัดรองชนะเลิศระหว่าง สเปน-เยอรมัน เพื่อแกล้งให้แฟนบอลเยอรมันขวัญเสีย มีแฟนบอลไม่ทราบสัญชาติ (ก็น่าจะเป็นสเปน) ตัดต่อภาพให้ “หมึกพอล” เลือกทีมสเปน แล้วนำเผยแพร่ลงอินเตอร์เน็ต จนทางพิพิธภัณฑ์ต้องออกมาปฏิเสธว่า “พอล” ยังไม่ได้ทำการพยากรณ์แต่อย่างใด

แต่ท้ายที่สุด ผลพยากรณ์อย่างเป็นทางการก็ออกมาว่า “เจ้าพอล” ได้เลือกทีมสเปนให้เป็นผู้ชนะในแมทช์รอบรองคืนนี้จริง ๆ แน่นอนว่าคำทำนายดังกล่าวเป็นที่ขัดใจของชาวเยอรมัน โดยเฉพาะกับกุนซือ โยอัคคิม เลิฟ และขุนพลเยอรมันได้ข่าวว่ากำลังใจหายไปพอสมควร คงต้องรอลุ้นผลกันคืนวันที่ 7 ครับว่าผลจะเป็นอย่างไร ซึ่งหากผลเป็นไปตามคำทำนายแล้วละก็ สวัสดิภาพของ “เจ้าพอล” ก็คงน่าเป็นห่วงครับ

Hemline Index

ในโลกของการการลงทุน ก็มี “ตัวช่วยบอกเหตุ” ในทำนองของ “เจ้าพอล” เหมือนกัน เช่น ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1926 (พ.ศ. 2469) นักวิเคราะห์หุ้นชื่อว่า George Taylor ได้ริเริ่ม Hemline Index ขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัน “สภาพตลาดหุ้น” กับ “ระดับชายกระโปรงของผู้หญิง” หรือ Hemline ในช่วงเวลาเดียวกัน กล่าวคือเมื่อใดที่ “กระโปรงยาว หรือ ชายกระโปรงต่ำ” เป็นที่นิยม สภาพดัชนีหุ้นในช่วงเวลานั้นก็จะตกต่ำตามไปด้วย ในขณะที่ช่วงใดที่ กระโปรงสั้นเป็นที่นิยม (ระดับชายกระโปรงสูง) ช่วงนั้นสภาพดัชนีตลาดหุ้นก็จะปรับตัวสูงขึ้นไปด้วย

The Wall Street Journal รายงานว่า ดัชนี “ชายกระโปรง” นี้สามารถพยากรณ์สภาวะตลาดหุ้นได้ถูกต้องในช่วงทศวรรษที่ 1920 ช่วงที่กระโปรงสั้นเป็นที่นิยม ตลาดหุ้นก็เฟื่องฟู ก่อนที่ตลาดจะตกต่ำลงอย่างมากในช่วง Great Depression ทศวรรษ 1930 ซึ่งเป็นช่วงที่กระโปรงยาวหันกลับมาฮิตกันมากในช่วงนั้น อีกทั้ง สามารถพยากรณ์สภาพตลาดได้ถูกต้องในช่วงทศวรรษ 1960 ที่ตลาดหุ้นกลับมาบูมอีกครั้งในเวลาเดียวกันกับกระโปรงสั้น และช่วงตลาดหุ้นตกต่ำในปี ค.ศ.1987 ที่กระโปรงยาวเริ่มกับมานิยมอีก (อ่านเพิ่มเติมจาก “Hemlines Are Dropping. Sell Everything” WSJ.com, September 6, 2007)

Super Bowl Indicator

ถัดมาจาก ดัชนีชายกระโปรง “ตัวบอกเหตุ” โด่งดังมากอีกตัวในสหรัฐอเมริกา ก็คือ ผลการแข่งขันซุปเปอร์โบลว์ หรือที่รู้จักกันดีในนามของ Super Bowl Indicator ที่ระบุว่า หากในปีใด ทีมผู้ชนะซุปเปอร์โบลว์มาจากสาย Original National Football Conference (NFC) หรือ NFC ดังเดิม (เช่น ทีม Green Bay Packers หรือ Dallas Cowboys) ตลาดหุ้นในปีนั้นจะมีแนวโน้มที่จะสดใส ในขณะที่หากปีใด ทีมจากสาย Original American Football Conference (AFC) หรือ AFC ดั้งเดิม เป็นผู้ชนะ (เช่น Denver Broncos หรือ New England Patriots) ก็มีแนวโน้มว่าตลาดหุ้นในปีนั้นมีแนวโน้มจะตกต่ำ

The Wall Street Journal รายงานได้ว่า ถึงแม้ว่าในช่วงเวลา 4-5 ปีมานี้ เจ้าดัชนีซุปเปอร์โบลว์นี้จะผิดพลาดไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว Super Bowl Indicator สามารถพยากรณ์ได้แม่นยำถึง 79% หรือ ทำนายถูก 34 จาก 43 ครั้ง รวมถึงปีที่แล้ว (อ่านเพิ่มเติมจาก “Super Bowl Indicator Says Stocks to Rise” WSJ.com, January 28, 2010) สำหรับปีนี้ ผู้ชนะคือ New Orleans Saints จากสาย NFC ระบุถึงคำทำนายว่าปีนี้ตลาดหุ้นปีนี้น่าจะสดใส ก็คงต้องรอลุ้นจนถึงปลายปีว่าตลาดจะสดใสจริงตามนั้นหรือไม่

Golden & Death Cross

เป็น “ตัวบอกเหตุ” ที่เกิดจากการตัดของเส้นค่าเฉลี่ยของราคาย้อนหลัง 50 วัน (50-day MA) กับเส้นค่าเฉลี่ยของราคาย้อนหลัง 200 วัน (200-day MA) ที่นิยมกันมากในการวิเคราะห์ทางเทคนิค จุดตัดนี้จะบอกถึงแนวโน้มของตลาดในอนาคต มี 2 ประเภท คือ Golden Cross หรือ “จุดตัดทองคำ” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเส้น 50-day MA ตัดขึ้นผ่าน เส้น 200-day MA แสดงถึงแนวโน้มที่สดใสของตลาดในช่วงเวลาข้างหน้า อีกตัวหนึ่งคือ Death Cross หรือ “จุดตัดมฤตยู” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเส้น 50-day MA ตัดลงผ่าน เส้น 200-day MA แสดงถึงแนวโน้มในอนาคตที่มืดมนของตลาด

โดย ณ วันที่ 6 ก.ค. 53 นี้ เกือบจะเกิด Death Cross ขึ้นในกราฟของดัชนี Dow Jones และ ดัชนี S&P 500 แล้ว (หลังจากที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วกับดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นมาเมื่อปลายเดือนที่แล้ว) นักลงทุนในตลาดคงต้องคอยติดตามสภาพตลาดอย่างใกล้ชิด และเมื่อ Death Cross เกิดขึ้นกับดัชนีหลักทั้ง 2 แล้ว คงต้อรอลุ้นว่าแนวโน้มของตลาดจะเป็นไปอย่างที่ทำนายไว้หรือไม่

ท้ายนี้ ไม่ว่า “ตัวบอกเหตุ” จะบ่งชี้ออกมาเป็นอย่างไร คงต้องยอมรับกันว่าเรื่องราวในอนาคต อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ เหมือนอย่างคำที่ว่า “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” ซึ่งสภาวการณ์ที่ไม่แน่นอนอย่างเช่นปัจจุบันนี้ นักลงทุนทุกท่านควรลงทุนด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งครั


ตัวบอกเหตุ..สิ่งควรสังเกตุก่อนการลงทุน?,ซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,

ยางพารา ยางพารวย (2),ซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,


ยางพารา ยางพารวย (2)

ผู้เขียน: ฝ่ายวิจัยและพัฒนา AFET
แหล่งเผยแพร่: หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน 21 กรกฎาคม 2553




สัปดาห์ที่แล้วเราได้รู้จักกลยุทธ์ฝ่าวิกฤติราคายางพาราผันผวนสำหรับผู้ประกอบการ ด้วยการป้องกันความเสี่ยงผ่านตลาดล่วงหน้า เพื่อให้ปีนี้เป็นปีของ “ยางพารา ยางพารวย” อย่างแท้จริง สัปดาห์นี้จึงเป็นเวลาของบุคคลที่สนใจจะเป็นนักลงทุน “เกาะกระแสยางพารวย” ไปพร้อมๆ กับผู้ประกอบการธุรกิจยางพาราค่ะ

ธุรกิจยางพาราเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงและใช้เงินทุนก้อนใหญ่เพื่อใช้รองรับสถานการณ์ราคายางพาราผันผวน ซึ่งถือเป็นช่วงที่ยากลำบากของผู้ประกอบการ แต่สำหรับนักลงทุนแล้ว นี่ถือเป็นโอกาสทองในการทำกำไร โดยในประเทศไทยเราสามารถลงทุนผ่านการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า (Futures Contract) ยางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS 3) ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (Agricultural Futures Exchange of Thailand) หรือ AFET

ก่อนที่เราจะกระโจนเข้าสู่สมรภูมิการลงทุน เรามาทำความรู้จักกับยางแผ่นรมควันชั้น 3 เพื่อเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์แนวโน้มราคายางแผ่นรมควันมีทั้งหมด 5 เกรด โดยยางแผ่นรมควันชั้น 1 มีคุณภาพดีสุด จนถึงชั้น 5 ที่มีคุณภาพต่ำสุด ทั้งนี้ ยางแผ่นรมควันชั้น 3 ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเฉพาะยางแผ่นรมควันชั้น 3 จากประเทศไทยซึ่งใช้ในการผลิตยางล้อรถยนต์โดยผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก อาทิ Bridgestone, Michelin และ Goodyear นอกจากนี้ยังใช้ในการผลิตสินค้าชนิดอื่นๆ อาทิ ท่อยาง สายพานลำเลียง อะไหล่รถยนต์ และยางรัดของ เป็นต้น ประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติเพื่อการส่งออกรายสำคัญ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ขณะที่ประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา ยุโรป เป็นต้น เพื่อชีวิตการลงทุนที่ง่ายขึ้น เราแบ่งปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 (จากหนังสือ “ซื้อขายยางพาราล่วงหน้าในตลาด AFET” ) ดังนี้



เนื่องจากสินค้าทดแทนของยางพาราคือยางสังเคราะห์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้มาจากการกลั่นน้ำมันดิบ ทำให้ราคายางพารามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราคาน้ำมันในตลาดโลก พูดง่ายๆ ก็คือ “น้ำมันขึ้น ยางขึ้น” นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างราคายางในตลาด AFET และราคายางในตลาดต่างประเทศที่มีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะตลาด TOCOM (Tokyo Commodity Exchange) ซึ่งเป็นตลาดที่มีการอ้างอิงราคายางพารากันมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

นอกเหนือจากความรู้ความเข้าใจพื้นฐานในการลงทุนข้างต้นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือ การมีวินัยในการลงทุน ซึ่งหมายถึงการวางแผนและจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ และต้องปฏิบัติตามแผนนั้นอย่างเคร่งครัด โดยทั่วไปแล้วแผนการลงทุนนี้ควรมีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้หากระดับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้นั้นเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ ช่วงอายุของผู้ลงทุน การแต่งงาน มีบุตร รวมทั้งควรติดตามสถานการณ์ตลาดลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่ในกรณีของการลงทุนในตลาดล่วงหน้านั้น จำเป็นต้องมีวินัยการลงทุนที่มากขึ้น โดยต้องมีการกำหนดจุด Stop Loss หรือจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจน และกล้าที่จะเปลี่ยน หากลงทุนผิดที่ผิดเวลา มิฉะนั้นผลขาดทุนจะลุกลามต่อไป ทั้งนี้จุด Stop Loss ของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุน ฐานะทางการเงิน และเป้าหมายระยะเวลาลงทุน

สำหรับผู้สนใจ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่ เว็ปไซต์ดีๆ ที่รวบรวมคู่มือการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ไว้ให้ศึกษากันฟรีๆ ค่ะ ด้วยวินัยและความรู้คู่การลงทุน จะสร้างโอกาสให้เราประสบความสำเร็จในฐานะ “นักลงทุนผู้เกาะกระแสยางพารา ยางพารวย”

ยางพารา ยางพารวย,ซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,








ยางพารา ยางพารวย

ผู้เขียน: ฝ่ายวิจัยและพัฒนา AFET
แหล่งเผยแพร่: หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน 14 กรกฎาคม 2553




หากถามถึงสินค้าเกษตรที่โดดเด่นมากในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 คำตอบคงหนีไม่พ้นยางพารา เพราะราคาทำสถิติดีดสูงขึ้นไปเป็นประวัติการณ์ โดยราคาซื้อขายเฉลี่ยอยู่เหนือระดับ 100 บาท/กิโลกรัม เป็นระยะเวลาหลายเดือนติดต่อกัน เรียกได้ว่าเป็นปีทองของ ”ยางพารา ยางพารวย” ด้วยเหตุผลนี้ทำให้หลายคนอยากผันตัวมาเป็นเถ้าแก่สวนยางหรือทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยางพารา แต่ก่อนที่เราจะลงทุนเพราะมองเห็นโอกาสดีๆ นั้น ประเด็นเรื่องความเสี่ยงของธุรกิจยางพาราก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยเช่นกัน

นอกเหนือจากความเสี่ยงด้านปริมาณผลผลิตอันเกิดจากโรคและแมลงศัตรูพืช และภูมิอากาศแปรปรวนแล้ว ยังมีความเสี่ยงเรื่องผลตอบแทนอันเกิดจากความผันผวนของต้นทุนการผลิต ประเทศคู่แข่งทางการค้าและปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจที่ตกต่ำของประเทศคู่ค้า การเติบโตของธุรกิจยานยนต์ อุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ การพัฒนาของสินค้าทดแทนอย่างยางสังเคราะห์ ปริมาณสินค้าคงคลังของประเทศผู้นำเข้า อัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมัน ฯลฯ ความเสี่ยงเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ราคายางพาราผันผวน ดังนั้นการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นเรื่องสำคัญและในบางครั้งก็เป็นตัวกำหนดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของธุรกิจยางพารา

แม้เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางธุรกิจเหล่านี้ได้ แต่เราก็สามารถลดและป้องกันความเสี่ยงบางชนิดได้ โดยเฉพาะ “ความเสี่ยงจากราคายางพาราที่ผันผวน” อันเป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่สำคัญในการกำหนดความอยู่รอดของธุรกิจยางพารา โดยเทคนิคอยู่ที่ “การป้องกันความเสี่ยงผ่านตลาดล่วงหน้า” ในการฝ่าวิกฤตการณ์ราคายางผันผวน เพื่อความเข้าใจ เรามาดูตัวอย่างกันค่ะ นายสุขใจ เกษตรกรชาวสงขลาผู้ผลิตและขายยางแผ่นรมควันชั้น 3 กำลังมีความสุขกับราคายางในระดับสูง โดยตลาดกลางยางพาราสงขลา มีราคาประมูล ณ วันที่ 12 กรกฎาคม 2553 ดังนี้



(ที่มา : สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร)

อย่างไรก็ตามนายสุขใจก็กังวลเรื่องราคาผลผลิตที่จะออกในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2554 เพราะราคายางพาราเริ่มมีแนวโน้มลดลง โดยเขาจะพอใจหากราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่สูงกว่าระดับ 80 บาท/กก. ทั้งนี้ราคาซื้อขายระหว่างวันของยางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ในวันเดียวกัน มีดังนี้



(ที่มา : ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย)

นายสุขใจจึงป้องกันความเสี่ยงผ่านตลาดล่วงหน้าด้วยการเปิดสถานะ “ขายสัญญาล่วงหน้า (Short Hedge) สัญญา RSS3 (FEB 11)” ในวันที่ 12 กรกฎาคม 53 ที่ราคา 93.20 บาท/กก. ซึ่งเป็นระดับราคาขายที่เขาพึงพอใจ เมื่อใกล้ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2554 หากยางแผ่นรมควันชั้น 3 ทั้งในตลาดจริงและตลาดล่วงหน้า ราคาลดลงมาอยู่ที่ 90 บาท/กก. นายสุขใจก็นำยางแผ่นรมควันชั้น 3 ไปขายในตลาดจริงในราคาเพียง 90 บาท/กก. ขณะเดียวกันเขาก็ปิดสถานะด้วยการ “ซื้อสัญญาล่วงหน้า RSS3 (FEB 11)” ที่ราคา 90 บาท/กก. ทำให้เขาได้กำไรจากตลาดล่วงหน้า = 93.20 - 90 หรือ 3.20 บาท/กก. ซึ่งกำไรส่วนนี้สามารถนำไปชดเชยกับราคาขายในตลาดจริงที่ราคา 90 บาท/กก.ได้ ดังนั้นจึงเสมือนว่านายสุขใจสามารถตรึงราคาขายยางแผ่นรมควันชั้น 3 ของตนได้ในราคา 93.20 บาท/กก. ซึ่งเป็นระดับที่เขาพึงพอใจ

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงผ่านตลาดล่วงหน้า หากท่านใดสนใจศึกษาเพิ่มเติม สามารถหาข้อมูลได้ ที่นี่ ซึ่งได้รวบรวมคู่มือการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ไว้ให้ศึกษากันฟรีๆ อย่างครบครันค่ะ

อารมณ์อ่อนไหวในตลาดลงทุน,ซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,

อารมณ์อ่อนไหวในตลาดลงทุน

ผู้เขียน: ฝ่ายวิจัยและพัฒนา AFET
แหล่งเผยแพร่: หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน 28 กรกฎาคม 2553




ท่านผู้อ่านเคยรู้สึกบ้างไหมคะว่า ตลาดลงทุนทั่วโลกในช่วงนี้มีความผันผวนมากขึ้นอย่างผิดปกติ หากเราเปรียบเทียบตลาดลงทุนเหล่านี้เป็นมนุษย์แล้ว ในช่วงนี้พวกเขาก็คงเป็นคนที่อ่อนไหวง่ายมากๆ เลยทีเดียว

เกิดอะไรขึ้นในตลาดลงทุน

เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (21 ก.ค. 53) เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) กล่าวแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภาสหรัฐฯ ว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐยังคงซบเซา ทำให้เฟดอาจต้องใช้นโยบายเศรษฐกิจที่จะยับยั้งการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจรวมถึงการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไป ทั้งนี้การแสดงความคิดเห็นดังกล่าวทำให้นักลงทุนต่างกลัวความเสี่ยง จึงพากันลดการถือครองสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์และสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ผลก็คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ยูโร ปอนด์ร่วงลง พร้อมๆ กับการดิ่งลงของตลาดหุ้นสำคัญของโลก ราคาน้ำมันก็ดิ่งลงเช่นกัน ขณะที่ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นเพียง 1 วัน (22 ก.ค. 53) ตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกกลับทะยานขึ้นอีกครั้งพร้อมๆ กับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนราคาทองคำก็ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินยูโรและปอนด์ต่างปรับตัวดีขึ้น เหลือเพียงสกุลเงินดอลลาห์สหรัฐที่ยังร่วงลงเพราะถูกนักลงทุนเทขายต่อ

อะไรทำให้นักลงทุนเหล่านี้หายกลัว หรือคำพูดประธานเฟดไม่มีความหมายแล้วหรือไร

หากมองลึกลงไปในถ้อยแถลงดังกล่าว เราจะเห็น ประเด็นสำคัญสำหรับตลาดลงทุนอยู่ 2 ประการ คือ 1. การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงซบเซา 2. อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับต่ำต่อไป นอกจากนี้คำพูดของประธานเฟดที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ฟื้น จะทำให้นักลงทุนหวาดกลัวกันจริงหรือ ตรงกันข้าม ดิฉันกลับคิดว่านักลงทุนน่าจะโล่งใจกันมากกว่า เพราะถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้น เฟดจะต้องรีบขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ ทำให้ต้นทุนในการลงทุนเพิ่มขึ้นและสภาพคล่องที่กำลังล้นระบบตลาดเงินเกิดภาวะตึงตัว อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่ตลาดลงทุนทั่วโลกจะร่วงลงอีกครั้ง

ภาวะสภาพคล่องล้นระบบ อันเป็นผลมาจากนโยบายอัดฉีดเงินของเฟดนั้นได้ถูกนำมาลงทุนในตลาดลงทุนต่างๆ ทั่วโลก ทำให้สินทรัพย์เพื่อการลงทุนอย่างทองคำ น้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลก ต่างได้รับผลดีกันถ้วนหน้า ราคาสินทรัพย์เหล่านี้ปรับตัวพุ่งขึ้นอย่างมาก ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจโลกยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน แต่ราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เป็นผลมาจาก "ภาวะเงินล้นโลก" มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ จนเกิดภาวะ Overbought ในตลาดลงทุน

ด้วยภาวะเงินล้นโลกนี้ ตลาดลงทุนจึงมีแนวโน้มที่จะผันผวนมากกว่าภาวะปกติ เพราะนักลงทุนต่างรู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังถืออยู่นั้นแพงเกินไป แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปลงทุนที่ไหนดี เก็บเป็นเงินสดก็ไม่สร้างผลตอบแทน พอมีข่าวร้ายเข้ามาในตลาด นักลงทุนก็จะตกใจ แห่กันเทขายสินทรัพย์ลงทุนออกมา เกิดภาวะ Oversold เพราะหนีตายกันถ้วนหน้า อย่างไรก็ตาม หากหลายประเทศทั่วโลกยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ตลาดลงทุนที่ร่วงลงอย่างรุนแรงก็จะฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง เพราะต้นทุนการลงทุนยังอยู่ในระดับต่ำ และปริมาณเงินก็ยังล้นโลกอยู่ดี ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของ “อารมณ์อ่อนไหวในตลาดลงทุน” นั่นเอง

นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงยังมีการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศอื่นๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดลงทุนทั่วโลกได้ไม่น้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะนโยบายการเงินของยุโรป จีน และประเทศในแถบเอเชีย เป็นต้น ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่อารมณ์อ่อนไหวในตลาดลงทุนนี้จะยาวนานแค่ไหนและจะสิ้นสุดเมื่อใด แต่อยู่ที่เราจะปรับตัวอย่างไรให้อยู่รอดได้ในตลาดลงทุน

ซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,หลากหลายเหตุผลที่คนขาดทุนในตลาด Futures



หลากหลายเหตุผลที่คนขาดทุนในตลาด Futures

ผู้เขียน: ฝ่ายวิจัยและพัฒนา AFET
แหล่งเผยแพร่: หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน 4 สิงหาคม 2553




"ใครเคยลงทุนในตลาด Futures แล้วเกิดอาการเซ็ง ผิดหวัง จิตตกเพราะผลขาดทุน โปรดยกมือขึ้น" ดิฉันก็คนหนึ่งค่ะ ประสบการณ์แย่ๆ เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับนักลงทุนทุกคน แต่เหตุผลเบื้องหลังการขาดทุนและขนาดของการขาดทุนของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามบางเหตุผลก็เกิดขึ้นได้กับคนหลายคน และบางคนก็ยังขาดทุนเพราะเหตุผลเดิมๆ ซ้ำๆ แต่ไม่ว่าคุณจะเคยขาดทุนในตลาด Futures เพราะเหตุผลอะไร ลองอ่านบทความวันนี้ดูค่ะ ว่ามีเหตุผลข้อไหนที่ตรงกับประสบการณ์ของคุณ และมีข้อไหนที่คุณยังไม่เคยเจอ และไม่อยากจะเจอกันบ้าง

เหตุผลที่ทำให้คนขาดทุนในตลาด Futures

1. ขาดเป้าหมาย: การลงทุนที่ขาดเป้าหมายและขาดการวางแผนก่อนการลงทุนนั้นเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้คนขาดทุนไม่ว่าจะลงทุนในตลาดใดก็ตาม แต่สำหรับตลาด Futures นั้น การกำหนดเพียงเป้าหมายและวางแผนการลงทุนนั้นยังไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องคาดการณ์ถึงความเสี่ยงในรูปแบบต่างๆ ที่อาจทำให้เราขาดทุน และกำหนดระดับขาดทุนที่เราสามารถรับได้

2. ขาดประสบการณ์: นักลงทุนที่เก่งในตลาดลงทุนหนึ่ง อาจไม่จำเป็นต้องเก่งในตลาดลงทุนอีกประเภทหนึ่งเสมอไป อย่างไรก็ตามประสบการณ์จะช่วยสร้างนักลงทุนที่เก่งกาจขึ้นมาได้ ซึ่งบางครั้งอาจต้องแลกด้วยความผิดพลาดหรือผลขาดทุน

3. ยึดติดกับอดีตดีๆ มีความมั่นใจสูง: ข้อนี้จะเป็นกรณีตรงข้ามกับข้อ 2 เพราะเป็นความผิดพลาดของคนเก่ง นักลงทุนหลายคนติดกับดักผลตอบแทนการลงทุนดีๆ ในอดีตของตน ทำให้มีความมั่นใจสูง ซึ่งการเป็นคนที่มีความมั่นใจนี้ถือเป็นข้อดี แต่จำเป็นต้องระมัดระวังด้วยเช่นกัน เพราะความมั่นใจที่สูงเกินไป อาจทำให้เราละเลยเหตุผลทางปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่สำคัญไปได้

4. รู้ข่าว รู้แนวโน้มตลาด แต่ไม่รู้ว่าตลาดก็รับข่าวนี้ไปแล้ว: เหตุผลข้อนี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ "ซื้อไม่นานก็ลง" หรือ "ขายไม่นานก็ขึ้น" โดยเฉพาะข่าวดีและข่าวร้ายที่เกิดขึ้นในตลาดต่างประเทศในช่วงข้ามคืน

5. ไม่ปรับตัว: ปัจจุบันสถานการณ์การลงทุนได้เปลี่ยนไป กระแสการเก็งกำไรเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดลงทุนมีความผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผันผวนในตลาด Futures ซึ่งเป็นได้ทั้งโอกาสและความเสี่ยง ดังนั้นการยึดติดอยู่กับการลงทุนแบบเดิมๆ โดยละเลยปัจจัยใหม่ๆ อย่างการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากกระแสการเก็งกำไรนั้นอาจไม่เป็นผลดีต่อเงินลงทุนของเรา

6. มากไป น้อยไป ไม่พอดี: นักลงทุนหลายคนเมื่อเห็นโอกาสดี ก็มักมีแนวโน้มที่จะเปิดฐานะการถือครองสัญญาล่วงหน้าในปริมาณมาก จนบางครั้งมากเกินระดับความเสี่ยงที่ตนเองจะรับได้ หรือบางคนมีเงินลงทุนน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยงและความผันผวนของตลาดที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ วิธีป้องกันคือ ต้องระวังใจไม่ให้เกิดความโลภจนเกินพอดี

7. ไม่ทำตามแผน: นักลงทุนบางท่านอาจมีเป้าหมายและแผนการลงทุนที่ดี แต่พอขาดทุนขึ้นมา พวกเขาก็ไม่สามารถทำใจปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ได้ หาก Cut Loss ไม่เป็น ผลขาดทุนจะบานปลาย กลายเป็นพระเอกตกม้าตาย

เหตุผล 7 ข้อข้างต้นนี้เป็นเพียงบางส่วนของ "หลากหลายเหตุผลที่คนขาดทุนในตลาด Futures" แต่ก็เป็นเหตุผลพื้นฐานที่นักลงทุนหลายๆ คนละเลย อย่างไรก็ตามเราไม่อาจมีสูตรตายตัวที่จะสร้างความมั่นใจได้ว่าเราจะเอาชนะตลาด Futures ได้ทุกครั้งไป แต่หากเราปิดความเสี่ยงข้างต้นได้ ก็เท่ากับว่าเพิ่มโอกาสชนะในการลงทุนในตลาด Futures ได้เช่นกันค่ะ

ซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดีซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดี

"สวย รวย เก่ง" ใครๆ ก็เป็นได้,,ซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,




"สวย รวย เก่ง" ใครๆ ก็เป็นได้

ผู้เขียน: ฝ่ายวิจัยและพัฒนา AFET
แหล่งเผยแพร่: หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน 11 สิงหาคม 2553




"สวย รวย เก่ง" เป็นสิ่งที่ผู้หญิงหลายคนปรารถนา แต่ก็ใช่ว่าจะสมหวังดังใจทุกราย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีพลังมุ่งมั่นสร้างฝันให้เป็นจริงได้หรือไม่ เนื่องในโอกาสวันแม่ ดิฉันขอมอบบทความพิเศษนี้ให้เป็นของขวัญแด่ผู้หญิงทุกคน ทั้งคุณแม่ และอนาคตคุณแม่ค่ะ "สวย รวย เก่ง" ใครๆ ก็เป็นได้ ภายใต้ 3 ขั้นตอน ดังนี้

1. ออมเงินไว้ก่อน: เรื่องนี้พูดง่าย แต่การทำได้นั้นยาก เคล็ดลับของการออมให้ได้ผลนั้นทำได้ง่ายๆ ด้วยการตั้งเป้าหมายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการออม เช่น ออมเงินเพื่อเรียนต่อ เพื่อแต่งงาน เพื่อการศึกษาบุตร และการออมระยะยาวเพื่อการเกษียณ ฯลฯ ทั้งนี้หลายคนอาจมีคำถามเรื่องการออมเงิน อาทิ

เราควรเริ่มออมเงินเมื่อไหร่: ตอบ "ออมทันที เดี๋ยวนี้เลย" โดยต้องออมก่อน ใช้จ่ายทีหลัง และควรแยกบัญชีเงินออมไว้ต่างหาก ที่สำคัญเราต้องตั้งเงื่อนไขไว้ว่าบัญชีนั้นต้องพยายามไม่ใช้จ่ายเด็ดขาด ถ้าไม่จำเป็น (จริงๆ)

เราจะออมเงินเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ: ตอบ "เป้าหมายการออมจะทำให้เรารู้ปริมาณเงินออมของแต่ละเป้าหมาย" แต่ในกรณีของการออมระยะยาวเพื่อการเกษียณ เราควรออมให้ได้มากที่สุด ตราบเท่าที่ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ที่สำคัญคือการมีวินัยและทำได้อย่างสม่ำเสมอ

อยากออมเงิน ต้องออมอย่างไร: นับเป็นโชคดีที่เรามีการออมเงินภาคบังคับ อย่างเช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนเหล่านี้จะช่วยให้การออมของเราง่ายขึ้น เพราะจะหักเงินเดือนอัตโนมัติทุกเดือน และนำเงินออมเหล่านั้นไปบริหารจัดการให้ แล้วจ่ายคืนให้ตอนที่เราออกจากงานหรือเกษียณอายุ อย่างไรก็ตามหากเราไม่ได้เข้าสู่การออมภาคบังคับ เราก็สามารถ "ออมได้โดยสมัครใจ" ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อตัวของเราเองค่ะ

2. ใช้จ่ายอย่างมีสติ: อย่าซื้อเพียงเพราะมันลดราคาหรือเพราะว่าเรากำลังเครียด เราควรคิดให้รอบคอบก่อนซื้อว่าสิ่งนั้นมีความจำเป็นแค่ไหน หากมันไม่จำเป็น ก็ท่องไว้ "ออมไว้ก่อน" แต่ถ้ายังไม่ได้ผล ดิฉันก็มี 3 วิธีดับอารมณ์อยากช้อปปิ้งมาฝากค่ะ

ทบทวนเป้าหมายการออมอยู่เสมอ: การทบทวนตรวจดูเป้าหมายการออมของตนเอง จะช่วยเตือนสติให้เรารู้ว่าเราต้องทำอย่างไรเพื่อไปถึงเป้าหมาย

จัดบ้าน: แทนที่จะออกไปเสียเงิน เราก็หันไปปัดกวาดจัดบ้านให้เรียบร้อย โดยเฉพาะตู้เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า นอกจากเราจะได้ความสะอาดแล้ว เราอาจได้ตื่นเต้นกับทรัพย์เก่าๆ ที่เราซื้อมานานแต่ยังไม่เคยใช้ นอกจากนี้ยังเป็นการออกกำลังกาย ทำให้หุ่นสวย และหมดแรงอยากเดินซื้อของ อย่างไรก็ตามหากจัดบ้านหมดทั้งหลังแล้วพลังยังเหลือ จะหันไปจัดการกับรถยนต์ต่อก็ได้ค่ะ

เปลี่ยนสถานที่ช้อปปิ้ง: กรณีที่ทำ 2 ข้อข้างต้นแล้วยังไม่เปลี่ยนใจ ดิฉันแนะนำให้ลองเปลี่ยนสถานที่ช้อปปิ้ง ถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศและฝึกสมองไปพร้อมๆ กัน เพราะเราต้องใช้เวลาศึกษาเส้นทางใหม่ภายในห้างหรือตลาดแห่งใหม่ ที่สำคัญเป็นการลดความไวของการจ่ายเงินด้วยค่ะ

3. ฝึกหัดลงทุน: ใครว่าผู้หญิงไม่เก่งจริงเรื่องการลงทุน ความจริงแล้วผู้หญิงเรามีความสามารถด้านนี้ค่ะ เพียงแต่ว่าเราอาจจะยังไม่ได้ศึกษาเรื่องการลงทุนอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ดิฉันมองการลงทุนของผู้หญิงแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

การลงทุนกับตนเอง: เป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มความรู้ความสามารถ ดูแลสุขภาพและความงาม การลงทุนด้านนี้ผู้หญิงเราเก่งอยู่แล้วค่ะ แต่ควรตั้งงบประมาณสำหรับการลงทุนประเภทรักษาความงามไว้ด้วย เพราะสวยอย่างเดียว ไม่รวย ไม่เก่ง ก็ไม่ไหวนะคะ

การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว: ปัจจุบันเรามีผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนให้เลือกสรรมากมาย เช่น หุ้น พันธบัตร ทองคำ หรือใครที่ไม่มีเวลาศึกษาอย่างจริงจัง เราก็อาจลงทุนผ่านกองทุนซึ่งจะมีมืออาชีพคอยดูแลให้ แต่ถ้าเราเป็นคนชอบความตื่นเต้นที่มาพร้อมกับความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทนสูงแล้วล่ะก็ การลงทุนใน Futures ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย ลองเข้าไปศึกษาข้อมูลได้ที่ www.afet.or.th และ www.tfex.co.th เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนการลงทุนค่ะ

ขอให้ผู้หญิงทุกคนประสบความสำเร็จดังใจหวัง อย่าลืมว่า "สวย รวย เก่ง

ซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดี
ซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดีซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดี

ความหวังครั้งใหม่ของการรวมกลุ่มซื้อ-ขาย,ซื้อขายข้าวแห่งอาเซียน



ความหวังครั้งใหม่ของการรวมกลุ่มซื้อ-ขาย,ซื้อขายข้าวแห่งอาเซียน

ผู้เขียน: ฝ่ายวิจัยและพัฒนา AFET
แหล่งเผยแพร่: หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน 18 สิงหาคม 2553




สัปดาห์ที่ผ่านมา วงการข้าวต่างให้ความสนใจกับประเด็นข่าวการประชุมโรงสีข้าวแห่งอาเซียนและแนวคิดบริษัทค้าข้าวอาเซียน ที่มีโต้โผใหญ่ผลักดันโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นการจุดประกายความหวังครั้งใหม่ของการรวมกลุ่มข้าวแห่งอาเซียนขึ้นมาอีกครั้ง แม้ประเด็นข่าวการรวมกลุ่มข้าวแห่งอาเซียนนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็สร้างความสนใจได้ทุกครั้ง

การจัดประชุมโรงสีข้าวแห่งอาเซียน (ASEAN Rice Miller Cooperation) เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา มีจุดประสงค์ให้เกิดความร่วมมือกันในลักษณะของการร่วมทุนระหว่างโรงสีข้าวของไทยซึ่งมีศักยภาพสูงกับโรงสีข้าวของกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เพื่อพัฒนามาตรฐานการผลิตและการส่งออกข้าวของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการจัดโซนนิ่งโรงสีข้าวไทยให้สามารถรับข้าวจากเพื่อนบ้านมาสีเพื่อการส่งออก โดยอาจให้ไทยส่งออกให้หรือส่งกลับไปให้ประเทศนั้นเพื่อการส่งออก วิธีการดังกล่าวจะช่วยให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าข้าวระหว่างอาเซียน ส่วนแนวคิดบริษัทค้าข้าวอาเซียนนั้น คุณพรทิวา นาคาศัย รมว.กระทรวงพาณิชย์ มีแผนจะหารือกับรมว.กระทรวงพาณิชย์ของเวียดนามในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (เออีเอ็ม) ที่ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 20-27 สิงหาคมนี้ หากทั้งสองโครงการนี้ประสบความสำเร็จ ประเทศไทยและเวียดนามในฐานะผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกและเป็นสมาชิกอาเซียน ก็จะสามารถรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ตัดปัญหาการขายข้าวตัดราคากันเอง และสร้างอำนาจการต่อรองราคาข้าวในตลาดโลก

เมื่อพูดถึงความหวังของการรวมกลุ่มข้าวแห่งอาเซียน หลายท่านอาจนึกไปถึงความสำเร็จของการรวมกลุ่มของประเทศผู้ค้าน้ำมันอย่าง "โอเปก" (OPEC, The Organization of the Petroleum Exporting Country) ซึ่งมีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกันกับแนวคิดการรวมกลุ่มข้าวแห่งอาเซียน โดยวัตถุประสงค์ของโอเปก คือ การแสวงหาและรักษาผลประโยชน์ของสมาชิกประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันปิโตรเลียมรายใหญ่ของโลกให้มีบทบาทในการกำหนดราคาน้ำมัน เพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้แก่ประเทศสมาชิก อย่างไรก็ตามหัวใจของความสำเร็จในการรวมกลุ่มของโอเปก อยู่ที่ "ความสามารถในการควบคุมปริมาณการผลิต"

ความสำเร็จของโอเปกในการสร้างอำนาจกำหนดราคาน้ำมันในตลาดโลกเกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก เพราะ "น้ำมัน" เป็นสินค้าที่มีลักษณะเป็นธุรกิจผูกขาดโดยผู้ขายน้อยราย ยิ่งเมื่อผู้ขายน้อยรายมารวมกลุ่มกันเป็นโอเปก ก็ยิ่งทำให้สามารถควบคุมอุปทานหรือปริมาณการผลิตน้ำมันได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยโอเปกจะใช้วิธีการประกาศปรับเพิ่มหรือลดกำลังการผลิตน้ำมันเพื่อส่งสัญญาณราคาไปยังตลาดค้าน้ำมัน ขณะที่ "ข้าว" เป็นสินค้าที่มีลักษณะผู้ผลิตหลายราย การวางแผนการผลิตก็ติดปัญหาเรื่องระยะเวลาเพาะปลูกที่ใช้เวลายาวนาน และปัจจัยที่กระทบกับปริมาณผลผลิตก็ควบคุมไม่ได้ เช่น สภาพดินฟ้าอากาศและภัยธรรมชาติ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทำให้การควบคุมปริมาณผลผลิตข้าวทำได้ยากกว่าการควบคุมปริมาณการผลิตน้ำมัน

ในอีกมุมหนึ่ง หากมองในแง่ของสินค้าที่ใช้ทดแทนกัน ซึ่งเป็นการพิจารณาในมุมของฝั่งอุปสงค์ จะพบว่าเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น อัตราการใช้น้ำมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ในขณะที่เมื่อราคาข้าวสูงขึ้น คนก็มีแนวโน้มที่จะหันไปบริโภคสินค้าชนิดอื่นทดแทน เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด เป็นต้น นอกจากนี้ปัญหาที่เรามักพบในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ คือ การที่สมาชิกไม่ปฏิบัติตามกติกา ขาดความร่วมมือกันอย่างจริงจัง ซึ่งโอเปกก็ประสบปัญหาเหล่านี้เช่นกัน และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้บทบาทและความสำคัญของกลุ่มโอเปกลดน้อยถอยลง ทั้งหมดนี้เป็นข้อสังเกตที่อาจเป็นประโยชน์ในการจัดตั้งการรวมกลุ่มข้าวแห่งอาเซียน แต่ไม่ว่าอุปสรรคของการรวมกลุ่มข้าวแห่งอาเซียนนี้จะมีมากน้อยแค่ไหน ดิฉันก็มีความหวังที่จะเห็นความสำเร็จของการรวมกลุ่มข้าวแห่งอาเซียน เพราะหากความร่วมมือดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริงก็จะเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อเกษตรกรและประเทศชาติของเรา ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ


ซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดีซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดีซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดีซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดีซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดีซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดีซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดีซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดีซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดีซื้อ-ขาย,ซื้อขาย,ซื้อ,ขาย,ขายของ,ขายไีรดีในเน็ต,ขายดี

ที่มา http://www.afet.or.th